โลกนี้ล้วนอนิจจัง
…ไม่มีสิ่งใดคงอยู่จีรังยังยืน...
...แม้กระทั่งหินผาที่แข็งแกร่ง…
....ก็ยังไม่วายถูกกระแสลมและกระแสน้ำ...
...กัดกร่อนไปตามกาลเวลา…
...ประสาอะไรกับความคิดคน...
ในอดีต…อาชีพแพทย์นั้นเป็นถืออาชีพหนึ่งที่คนทุกคนมองว่ามีเกียรติ
มีศักดิ์ศรี มีคนนับถือ กระทั่งว่าหากครอบครัวใดมีคุณหมออยู่ในบ้าน
ครอบครัวนั้นก็จะดูดีในสายตาของเพื่อนบ้านโดยปริยาย เสมือนมีเทวดาตัวน้อยอยู่ในบ้านให้ฝากผีฝากไข้แล้ว
อีกทั้งอาชีพนี้รายได้ก็อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง นั้นจึงเป็นสาเหตุให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนอยากให้บุตรหลานของตนเรียนหมอ…จนเกิดเป็นทัศนคติหรือค่านิยมในสังคมว่า “เป็นหมอเพื่อแม่เถอะนะลูก”
นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในอดีต…
ปัจจุบันยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ คำตอบคือ…เปล่าเลยครับ
ขณะนี้ภาพลักษณ์ที่คนมองแพทย์นั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ อาชีพที่หลายๆคนเคยมองว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ
อาชีพที่น่านับถือ อาชีพที่คนที่เป็นจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจงามและต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
กลายเป็นอาชีพที่แพทย์เป็นเพียงผู้ให้บริการ
ส่วนคนไข้และญาตินั้นเป็นผู้ซื้อบริการ“ชั้นจ่ายเงินมาเป็นค่ารักษาแล้วนะ รีบรักษาสิ”
“รอนานแล้ว
หมอจะให้ลูกดิฉันรออีกนานเท่าใด”
“จะซักประวัติอะไรมากมาย หมอมีหน้าที่รักษาก็รักษาไป”
นี่เป็นคำพูดที่หมอแบงค์ไม่เคยคิดเคยฝันเลย…ว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของคนไข้และญาติ
T_T ตอนได้ยินครั้งแรกหมอแบงค์รู้สึกเหมือนโลกที่หมอแบงค์เคยวาดฝันไว้กำลังพังทลายลง
T_T ตอนได้ยินครั้งแรกหมอแบงค์รู้สึกเหมือนโลกที่หมอแบงค์เคยวาดฝันไว้กำลังพังทลายลง
ปล. ขอให้น้องๆที่อยากเป็นหมออย่าเพึ่งรู้สึกสิ้นหวังหรือเศร้าไปจนกว่าจะอ่านบทความนี้จบ
จากการ์ตูนตัวอย่างจะเห็นว่าคนไข้นั่งรอตรวจเป็นจำนวนมาก ยิ่งรอตรวจนานอารมณ์ของคนไข้และญาติก็ยิ่งเสีย แพทย์ก็พยายามที่จะตรวจคนไข้เร็วขึ้นเพื่อให้คนไข้ไม่รอนานในเคสที่ไม่มีปัญหาอะไรเร่งด่วน เช่น เป็นหวัด มารับยาเบาหวาน ยาความดันเดิม กลายเป็นว่าหมอตรวจไม่ละเอียด จริงๆแล้วในเคสที่จำเป็นต้องตรวจละเอียดหมอก็ยังคงตั้งใจตรวจอย่างเต็มที่ เพียงแต่ไม่มีใครทราบ…
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่หมอแบงค์ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางห้องฉุกเฉินต้องเจออยู่เป็นประจำคือ ปกติในวันและเวลาราชการคนไข้ที่อาการไม่หนักจะถูกคัดกรองไปตรวจยังแผนกผู้ป่วยนอกตามอาการที่คนไข้มา ตัวอย่างเช่น ไอน้ำมูกไหลลงคอก็จะถูกส่งไปตรวจยังแผนกหูคอจมูก เด็กมารับวัคซีนก็ไปตรวจยังแผนกเด็ก คนไข้ท้องเจ็บครรภ์ก็ส่งไปให้หมอสติดู แต่ในวันที่เป็นวันหยุดคนไข้ทุกคนไม่ว่าอาการเล็กน้อยหรืออาการหนักก็จะถูกส่งมายังห้องฉุกเฉินทั้งหมด
มาดูว่าการจัดประเภทคนไข้ตามความเร่งด่วนทำอย่างไรคลิ๊กที่ พี่หมอเล่าเรือง ตอน
เสื้อแดงบุก ER วชิร + ฝ่าวิกฤติเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์
จากลักษณะดังกล่าวทำให้ปริมาณคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินเพิ่มเป็นอย่างมาก หมอจำเป็นต้องดูคนไข้ที่มีอาการหนัก อาการเร่งด่วนที่หากไม่รีบช่วยจะเสียชีวิตก่อน ซึ่งการดูคนไข้หนักแต่ละเคสใช้เวลาไม่น้อยเลย ลองนึกภาพคนไข้เจ็บหน้าอกหัวใจหยุดเต้นต้องการการปั้มหัวใจเร่งด่วน คนไข้ถูกยิงที่อกต้องใส่ท่อระบายลมเนื่องจากปอดแตก หรือคนไข้ที่ปวดท้อง มีไข้สูงสงสัยไส้ติ่งแตกต้องการการผ่าตัดเร่งด่วน แพทย์จำเป็นต้องช่วยคนไข้เหล่านี้ก่อนหรือไม่ สุดท้ายกับกลายเป็นหมอที่โดนคนไข้เป็นหวัดด่าเนื่องจากเขาต้องรอตรวจ 3 ชั่วโมง เพราะหมอไปช่วยคนไข้ที่ใกล้ตายก่อน ยิ่งไปกว่านั้นที่เลวร้ายที่สุดคือหากคนไข้ที่อาการหนักซึ่งหมอรีบไปช่วยก่อนเสียชีวิต ญาติบางคนกลับติดใจว่า
“ทำไมหมอช่วยแม่ผมไม่ได้ ผมฟ้องหมอ” นี่คือสิ่งที่หมอแบงค์สะเทือนใจที่สุด
จริงแล้วหมอมีทั้งดีและไม่ดี หมอที่น่าเงินเห็นก็เงินก็มีแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
หมอโดยส่วนใหญ่ล้วนจริงใจทำการรักษาเต็มที่ หมอนั้นหวังแต่จะให้คนไข้ที่ตนเองดูแลหายป่วยทั้งนั้น
แค่คนไข้ที่เราดูแลอยู่อาการดีขึ้นหมอแบงค์ก็ดีใจแล้ว
ไม่มีหมอคนใดหรอกที่อยากให้คนไข้ที่ดูแลอยู่เสียชีวิต
เหมือนภาพฝันที่เคยคิดไว้พังทลายไหมครับน้อง
เรียนหมอกว่าจะจบมาก็ยาก แถมใช้เวลาตั้งหกปี เผลอๆถ้าต่อเฉพาะทางอาจใช้เวลามากกว่าสิบปี
จบมาทำงานก็เหน็ดเหนื่อย เวลาพักผ่อนก็น้อย
เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับดูแลคนที่เราไม่รู้จัก เวลาที่จะให้ครอบครัวของตนเอง พ่อแม่
พี่น้องแฟนแทบไม่เหลือ ยังต้องมาโดนคนไข้และญาติทั้งด่าทั้งฟ้องร้อง
ทั้งๆที่รู้อยู่แบบนี้น้องยังอยากมาเป็นหมอหรือป่าวครับ?
หมอแบงค์นั้นแม้จะรู้สึกท้อกับเรื่องนี้อยู่บ้าง
แต่ขอบอกเลยว่าหมอแบงค์ไม่ยอมแพ้ครับ หมอแบงค์ยอมรับว่าเคยรู้สึกโกรธและรู้สึกไม่ดีกับคนเหล่านั้น
“เราก็พยายามเต็มที่แล้ว
เหนื่อยก็เหนื่อยยังมาด่าเราอีก”
ไม่มีใครที่ชอบที่จะโดนว่าหรอกครับ
แต่หากเรามองโลกในแง่ดีเอาใจเขามาใส่ใจเราและรู้จักการให้อภัย
คิดซะว่าเขาเป็นเสมือนญาติเราคนหนึ่ง ที่เขาว่าเราเพราะเขาไม่เข้าใจอย่าไปถือสาเขาเลย
ถ้าหากญาติของเราป่วยเราก็คงร้อนใจเหมือนเขาเช่นเดียวกัน ซึ่งหากคิดได้เช่นนี้ความโกรธความเกลียดก็จะไม่เกิดขึ้น
และให้หมอทุกคนพยายามยึดมั่นในพระราชดำรัสของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร
อดุยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์ไทยที่ว่า
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน
เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ ให้บริสุทธิ์”
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ ให้บริสุทธิ์”
"ฉันไม่ต้องการจะให้พวกเธอมีความรู้เพียงอย่างเดียว
ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นบุคคลที่ถึงพร้อมแล้วด้วยI don’t want you to be only a doctor, but I also want you to be a man.
หมายความว่า ฉันต้องการให้พวกเธอ เป็นทั้งนายแพทย์และเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมและศีลธรรมอันดีด้วย จึงสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้”
แม้ทัศนคติของคนอื่นเปลี่ยนไป
แต่หากใจของเรายังคงยึดมั่น ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระราชบิดา
ไม่แน่ว่าซักวันภาพลักษณ์ของแพทย์ในอดีตจะต้องกลับมาครับ สู้ตายนะครับทุกคน
เรื่องโดย ~หมูสนาม~
คำเตือน
บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัดลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา