วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ภาพลักษณ์ของแพทย์ในปัจจุบัน (แนะนำให้อ่านครับ)



โลกนี้ล้วนอนิจจัง
ไม่มีสิ่งใดคงอยู่จีรังยังยืน...
...แม้กระทั่งหินผาที่แข็งแกร่ง…  
....ก็ยังไม่วายถูกกระแสลมและกระแสน้ำ...
...กัดกร่อนไปตามกาลเวลา
...ประสาอะไรกับความคิดคน...



             ในอดีตอาชีพแพทย์นั้นเป็นถืออาชีพหนึ่งที่คนทุกคนมองว่ามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคนนับถือ กระทั่งว่าหากครอบครัวใดมีคุณหมออยู่ในบ้าน ครอบครัวนั้นก็จะดูดีในสายตาของเพื่อนบ้านโดยปริยาย เสมือนมีเทวดาตัวน้อยอยู่ในบ้านให้ฝากผีฝากไข้แล้ว อีกทั้งอาชีพนี้รายได้ก็อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง นั้นจึงเป็นสาเหตุให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนอยากให้บุตรหลานของตนเรียนหมอจนเกิดเป็นทัศนคติหรือค่านิยมในสังคมว่า เป็นหมอเพื่อแม่เถอะนะลูก

          นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในอดีต ปัจจุบันยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ คำตอบคือเปล่าเลยครับ ขณะนี้ภาพลักษณ์ที่คนมองแพทย์นั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ อาชีพที่หลายๆคนเคยมองว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ อาชีพที่น่านับถือ อาชีพที่คนที่เป็นจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจงามและต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น กลายเป็นอาชีพที่แพทย์เป็นเพียงผู้ให้บริการ ส่วนคนไข้และญาตินั้นเป็นผู้ซื้อบริการ

ชั้นจ่ายเงินมาเป็นค่ารักษาแล้วนะ รีบรักษาสิ

รอนานแล้ว หมอจะให้ลูกดิฉันรออีกนานเท่าใด

จะซักประวัติอะไรมากมาย หมอมีหน้าที่รักษาก็รักษาไป

          นี่เป็นคำพูดที่หมอแบงค์ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของคนไข้และญาติ 
         T_T ตอนได้ยินครั้งแรกหมอแบงค์รู้สึกเหมือนโลกที่หมอแบงค์เคยวาดฝันไว้กำลังพังทลายลง

          ปล. ขอให้น้องๆที่อยากเป็นหมออย่าเพึ่งรู้สึกสิ้นหวังหรือเศร้าไปจนกว่าจะอ่านบทความนี้จบ







         อาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ทำงานกับความคาดหวังของคน  ซึ่งความคาดหวังของญาติและคนไข้สมัยนี้ไม่ใช่น้อยๆเลย ทุกคนคาดหวังว่าจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดจากแพทย์ แพทย์นั้นก็พยายามที่จะให้การรักษาที่ดีที่สุดกับคนไข้ทุกคน แต่เนื่องด้วยปริมาณคนไข้ที่มากในแต่ละวัน วันหนึ่งแพทย์นั้นตรวจคนไข้ไม่ต่ำกว่าหลักร้อยยิ่งในโรงพยาบาลรัฐคนไข้ยิ่งมากตาม 

        จากการ์ตูนตัวอย่างจะเห็นว่าคนไข้นั่งรอตรวจเป็นจำนวนมาก ยิ่งรอตรวจนานอารมณ์ของคนไข้และญาติก็ยิ่งเสีย แพทย์ก็พยายามที่จะตรวจคนไข้เร็วขึ้นเพื่อให้คนไข้ไม่รอนานในเคสที่ไม่มีปัญหาอะไรเร่งด่วน เช่น เป็นหวัด มารับยาเบาหวาน ยาความดันเดิม กลายเป็นว่าหมอตรวจไม่ละเอียด จริงๆแล้วในเคสที่จำเป็นต้องตรวจละเอียดหมอก็ยังคงตั้งใจตรวจอย่างเต็มที่ เพียงแต่ไม่มีใครทราบ

        อีกเหตุการณ์หนึ่งที่หมอแบงค์ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางห้องฉุกเฉินต้องเจออยู่เป็นประจำคือ ปกติในวันและเวลาราชการคนไข้ที่อาการไม่หนักจะถูกคัดกรองไปตรวจยังแผนกผู้ป่วยนอกตามอาการที่คนไข้มา ตัวอย่างเช่น ไอน้ำมูกไหลลงคอก็จะถูกส่งไปตรวจยังแผนกหูคอจมูก เด็กมารับวัคซีนก็ไปตรวจยังแผนกเด็ก คนไข้ท้องเจ็บครรภ์ก็ส่งไปให้หมอสติดู แต่ในวันที่เป็นวันหยุดคนไข้ทุกคนไม่ว่าอาการเล็กน้อยหรืออาการหนักก็จะถูกส่งมายังห้องฉุกเฉินทั้งหมด

       มาดูว่าการจัดประเภทคนไข้ตามความเร่งด่วนทำอย่างไรคลิ๊กที่ พี่หมอเล่าเรือง ตอน
เสื้อแดงบุก ER วชิร + ฝ่าวิกฤติเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์

       จากลักษณะดังกล่าวทำให้ปริมาณคนไข้ที่ห้องฉุกเฉินเพิ่มเป็นอย่างมาก หมอจำเป็นต้องดูคนไข้ที่มีอาการหนัก อาการเร่งด่วนที่หากไม่รีบช่วยจะเสียชีวิตก่อน ซึ่งการดูคนไข้หนักแต่ละเคสใช้เวลาไม่น้อยเลย ลองนึกภาพคนไข้เจ็บหน้าอกหัวใจหยุดเต้นต้องการการปั้มหัวใจเร่งด่วน คนไข้ถูกยิงที่อกต้องใส่ท่อระบายลมเนื่องจากปอดแตก หรือคนไข้ที่ปวดท้อง มีไข้สูงสงสัยไส้ติ่งแตกต้องการการผ่าตัดเร่งด่วน แพทย์จำเป็นต้องช่วยคนไข้เหล่านี้ก่อนหรือไม่ สุดท้ายกับกลายเป็นหมอที่โดนคนไข้เป็นหวัดด่าเนื่องจากเขาต้องรอตรวจ 3 ชั่วโมง เพราะหมอไปช่วยคนไข้ที่ใกล้ตายก่อน ยิ่งไปกว่านั้นที่เลวร้ายที่สุดคือหากคนไข้ที่อาการหนักซึ่งหมอรีบไปช่วยก่อนเสียชีวิต ญาติบางคนกลับติดใจว่า

ทำไมหมอช่วยแม่ผมไม่ได้ ผมฟ้องหมอ      นี่คือสิ่งที่หมอแบงค์สะเทือนใจที่สุด


         จริงแล้วหมอมีทั้งดีและไม่ดี หมอที่น่าเงินเห็นก็เงินก็มีแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น หมอโดยส่วนใหญ่ล้วนจริงใจทำการรักษาเต็มที่ หมอนั้นหวังแต่จะให้คนไข้ที่ตนเองดูแลหายป่วยทั้งนั้น แค่คนไข้ที่เราดูแลอยู่อาการดีขึ้นหมอแบงค์ก็ดีใจแล้ว ไม่มีหมอคนใดหรอกที่อยากให้คนไข้ที่ดูแลอยู่เสียชีวิต 

       เหมือนภาพฝันที่เคยคิดไว้พังทลายไหมครับน้อง เรียนหมอกว่าจะจบมาก็ยาก แถมใช้เวลาตั้งหกปี เผลอๆถ้าต่อเฉพาะทางอาจใช้เวลามากกว่าสิบปี จบมาทำงานก็เหน็ดเหนื่อย เวลาพักผ่อนก็น้อย เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับดูแลคนที่เราไม่รู้จัก เวลาที่จะให้ครอบครัวของตนเอง พ่อแม่ พี่น้องแฟนแทบไม่เหลือ ยังต้องมาโดนคนไข้และญาติทั้งด่าทั้งฟ้องร้อง ทั้งๆที่รู้อยู่แบบนี้น้องยังอยากมาเป็นหมอหรือป่าวครับ?

       หมอแบงค์นั้นแม้จะรู้สึกท้อกับเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ขอบอกเลยว่าหมอแบงค์ไม่ยอมแพ้ครับ หมอแบงค์ยอมรับว่าเคยรู้สึกโกรธและรู้สึกไม่ดีกับคนเหล่านั้น

เราก็พยายามเต็มที่แล้ว เหนื่อยก็เหนื่อยยังมาด่าเราอีก ไม่มีใครที่ชอบที่จะโดนว่าหรอกครับ

       แต่หากเรามองโลกในแง่ดีเอาใจเขามาใส่ใจเราและรู้จักการให้อภัย คิดซะว่าเขาเป็นเสมือนญาติเราคนหนึ่ง ที่เขาว่าเราเพราะเขาไม่เข้าใจอย่าไปถือสาเขาเลย ถ้าหากญาติของเราป่วยเราก็คงร้อนใจเหมือนเขาเช่นเดียวกัน ซึ่งหากคิดได้เช่นนี้ความโกรธความเกลียดก็จะไม่เกิดขึ้น และให้หมอทุกคนพยายามยึดมั่นในพระราชดำรัสของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์ไทยที่ว่า



ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน  เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศ  จะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ ให้บริสุทธิ์

"ฉันไม่ต้องการจะให้พวกเธอมีความรู้เพียงอย่างเดียว
ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นบุคคลที่ถึงพร้อมแล้วด้วย
I don’t want you to be only a doctor, but I also want you to be a man.
หมายความว่า ฉันต้องการให้พวกเธอ เป็นทั้งนายแพทย์และเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมและศีลธรรมอันดีด้วย จึงสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้

       แม้ทัศนคติของคนอื่นเปลี่ยนไป แต่หากใจของเรายังคงยึดมั่น ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระราชบิดา ไม่แน่ว่าซักวันภาพลักษณ์ของแพทย์ในอดีตจะต้องกลับมาครับ สู้ตายนะครับทุกคน

                                                                เรื่องโดย ~หมูสนาม~
พี่หมอ
คำเตือน
บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัดลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา