เรื่องเกิด ณ กลางดึกของกลางคืน..คืนหนึ่ง.. ขณะที่หมอแบงค์(สมัยเป็นExtern)กำลังอยู่เวรที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน(Emergency Room)ของโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์(สำหรับน้องที่ลืมไปแล้ว.....ก็โรงพยาบาลประจำคณะแพทย์ศาสตร์ มศว) ขณะนั้นหมอแบงค์กำลังอยู่ในช่วงง่วงถึงขีดสุด เตรียมจะไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เต็มทแก่แล้ว พร้อมที่จะฟุบหลับลงกับโต๊ะตรวจได้ทุกเมื่อc(-_-)ZZzz
ทันใดนั้น!! ประตูห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้อง.....
ช่วยด้วย!! หมอ..ช่วยด้วยสามีของป้าจะตายแล้ว อือๆๆT_T" คุณป้าปล่อยโห่ออกมาหลังจากตะโกนร้องให้ช่วยเสร็จ
"คุณป้าใจเย็นๆก่อน เกิดอะไรขึ้น ตั้งสติก่อนแล้วค่อยๆพูดค่อยๆจากัน" พี่พยายามบอกให้คุณป้าตั้งสติให้ดี...ทั้งๆที่จริงๆแล้วพี่ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน (เหอๆก็แบบว่ากำลังจะหลับ จู่ๆก็มีคนพรวดพราดเข้ามาส่งเสียงดังซะขนาดนี้ - -")
โส รีบไปตามพี่เพลงมาดูเร็ว" หมอแบงค์รีบบอกโส(เพื่อนสนิท)ให้ไปตามพี่เพลงซึ่งเป็น Intern1 แพทย์ใช้ทุนประจำห้องฉุกเฉินวันนั้นมาดู...คุณลุงสามีของคุณป้าที่เพึ่งถูกบุรุษพยาบาลเข็นเข้ามา
หลังจากที่ได้เดินไปดูคุณลุงที่เตียงที่เพึ่งถูกเข็นเข้ามาก็พบว่าคุณลุงสภาพแย่มาก
โดยมีอาการ
- พูดไม่ได้ รู้สึกเหมือนลิ้นคับปาก
- หนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น
- มีหายใจลำบาก ร่วมกับแขนและขาไม่มีแรง
ข้อมูลเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยโรคหรอกครับน้องๆ การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์นั้นอยู่ที่การซักประวัติตรวจร่างกายคนไข้ประมาณ 80 % ที่เหลืออีก 20 % นั้นคือการวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ เช่น เจาะเลือดตรวจ ส่งfilm X-ray เป็นต้น ดังนั้นสำหรับคุณลุงคนนี้ขั้นตอนต่อไปที่ควรทำมากที่สุดคือ กลับไปถามข้อมูลจากคุณป้าเพิ่มเติม(ต้องไปถามอย่างเร่งด่วนนะ เนื่องจากคนไข้เริ่มแย่แล้ว!!)
"คุณป้าค่ะ ตั้งสติหน่อยค่ะช่วยเล่าอาการของคุณลุงให้ฟังหน่อยว่าจู่ๆ เป็นแบบนี้ได้อย่างไรสำคัญมากเลยนะที่คุณป้าต้องเล่าอาการของคุณลุงให้หมอฟัง" พี่เพลง แพทย์ใช้ทุนสาวสวยเน้นย้ำคุณป้าอีกครั้ง
"คุณหมอค่ะ.... สะ.สะ...สามีป้าโดนเจ้านี่กัดที่ขา!!" หลังพูดจบคุณป้าก็เอามือล้วงในกระเป๋า แล้วโยนถุงพลาสติกที่ข้างในมี ของบางอย่างอยู่ภายในลงมาที่พื้นห้อง
"ไหน น้องแบงค์ลองไปดูหน่อยสิว่ามันคืออะไร" พี่รีบไปเปิดถุงนั้นออกตามคำสั่งทันที แล้วถึงกับผะงักเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ภายในมันคือ
l
l
l
V
เจ้านี่
พี่เพลงรู้ดังนั้นแล้วจึงรีบไปดูคุณลุงอีกรอบ พร้อมทั้งเขียนคำสั่งรักษาให้คุณพยาบาลให้เตรียม AntiVenum มาให้พร้อม ปรากฏว่าคุณลุงหายใจลำบากกว่าเดิมมาก ค่าความอิ่มตัวของ oxygen ในเลือดที่วัดจากปลายนิ้วต่ำลงเหลือ 89% แสดงว่าคุณลุงเริ่มมีภาวะหายใจล้มเหลวแล้ว พี่เพลงจึงตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจให้คุณลุงในทันที !! ----> ผลคือคุณลุงหายใจดีขึ้น ค่าความอิ่มตัวของ oxygen ในเลือดที่วัดจากปลายนิ้วเพิ่มขึ้นมาเป็น 98 % แสดงว่าคุณลุงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยแล้ว
หลังจากช่วยคุณลุงให้พ้นจากภาวะวิกฤติแล้ว พวกเราได้แก่ หมอแบงค์ พี่เพลง และโส จึงเริ่มตรวจร่างกายคุณลุงอย่างละเอียดใหม่และพบรอยเขี้ยว(Fang mark) เป็นลักษณะ รูสองรู ที่นิ้วเท้าดังรูป
หมอแบงค์ก็เกิดความสงสัยว่า เอ๋...เจ้างูตัวร้ายตัวนี้มันเป็นงูอะไรนะ และพี่เขารู้ได้อย่างไรถึงสามารถสั่งเซรุ่มได้ถูกชนิดงู จึงรีบถามคำถามที่สงสัยนั้นกับพี่เพลง
"อ้อง่ายมากค่ะน้อง งูพิษแต่ละชนิดมันจะมีลักษณะที่แตกต่างกันในตัวของมัน อย่างงูที่กัดคุณลุงตัวนี้คือ งูเห่าค่ะ สังเกตได้จากลายดอกที่หลังหัวมันพบเฉพาะในงูชนิดนี้ ส่วนอีกอย่างที่ช่วยก็คือต้องดูว่าในแถบนี้เป็นถิ่นที่งูอะไรชุกอย่าง เช่น ถ้าเป็นภาคใต้งูที่พบบ่อยก็คืองูกะปะ แต่สำหรับท้องทุ่งนา จังหวัดนครนายกของเราก็ต้องเจ้างูเห่านี้ล่ะ" ฟังแล้วพี่ถึงกับกระจ่างถึงบางอ้อในทันที และรีบกลับไปหยิบเจ้างูในถุงมาดูอีกรอบก็เป็น....ตามที่พี่เขาว่าจริงๆ
และก็ไปถามคุณป้าว่าไปโดนงูกัดที่ไหนมา (ตอนนี้คุณป้าแกดูมีสติมากขึ้นแล้ว) คุณป้าจึงได้เล่าว่าขณะเดินทางกลับบ้านโดยผ่านคันนากับคุณลุง ตอนนั้นมันช่วงหัวค่ำไฟส่องตามทางบริเวณนั้นก็ไม่เพียงพอ คุณลุงได้สะดุจบางอย่างนึกว่าเป็นขอนไม้ จึงได้เตะให้พ้นทาง ปรากฎว่าเจ้าขอนไม้ที่เตะไปก็คือเจ้างูนี่หล่ะ พอโดนกัด สามีป้าแค้นมากเอาท่อนไม้(อันนี้ของจริง)ตีเจ้างูจนตายเลย
"อ้าวแล้วหลังจากโดนงูกัดไปไหนมาเหรอครับ ทำไมไม่รีบพาคุณลุงมาโรงพยาบาล" พี่ถามด้วยความสงสัย
"อ้อ....ป้าก็คิดจะพามานะ แต่ตาลุง สามีป้ามันบอกว่าไม่ต้อง ให้พาไปวัดแทน"
"วัด เหรอครับ-_-" ??"
"ใช่แล้วค่ะ ตาลุงมันบอกว่ามีหลวงตาที่วัดเก่งกาจด้านวิชาสมุนไพรรักษาโรคจึงให้พาไปหา"
"แล้วไปถึงหลวงตาทำอะไรบ้างครับ" พี่สงสัยมาก
"หลวงตาแกก็เอาสมุนไพรฟอกตรงบริเวณที่ถูกกัดให้ แล้วก็สวดมนต์ร่ายคาถา แต่หลวงตาแกสวดไปสวดมาสามีป้ามันก็ไม่มีแรงขึ้นมา มีลิ้นคับปากพูดไม่ได้ ป้าเห็นท่าจะไม่ดีแล้วเว้ยเลยจะพามาโรงพยาบาล แต่ก็มีปัญหา "
"ปัญหาอะไรเหรอครับ?" พี่ถามคุณป้าด้วยความสงสัย
"ก็หลวงตาแกไม่ให้ไป แล้วก็บอกว่ายังสวดคาถาไม่เสร็จเลย จะให้ไปได้ยังไง ตอนนั้นป้าถึงกับลมจับ ต้องอ้อนวอนตั้งหลายทีกว่าหลวงตาแกจะยอมปล่อยป้ากับสามีมา"
"ไหว้.....แล้วหลวงตาปล่อยสามีป้าไปโรงพยาบาลเถอะ "นั้นแหละกว่าหลวงตาจะยอม
จบแล้วนะครับกับเรื่อง ไหว้....แล้วหลวงตา เป็นยังไงกันบ้างครับสนุกไหมครับ เรื่องนี้หมอแบงค์นำมาเขียนมีจุดมุ่งหมายอยู่ 2 ประการ
1. เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ยังมีชาวบ้านอีกมากที่ยังรักษาอาการเจ็บป่วยโดยอาศัยความเชื่อในท้องถิ่นนั้นๆ
2. แสดงให้เห็นถึงการเรียนแพทย์ในระดับชั้นคลีนิกที่เป็นไปในลักษณะ "พี่สอนน้อง" เมื่อเราอยู่ในระดับชั้นคลีนิกนั้นเราต้องขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจากการฟังอาจารย์สอนในห้องเรียน การอ่านหนังสือเอง หรืออาศัยระบบเกื้อกูลที่หมอรุ่นพี่จะถ่ายทอดความรู้ของตนให้กับรุ่นน้อง หมอแบงค์คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนจากกัน
พิษงูที่พบในประเทศไทยนั้นแบ่งไปเป็น 3 ชนิด คือ พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบเลือด และพิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อ
วันนี้หมอแบงค์จะพูดถึงงูที่มีพิษต่อระบบประสาท(Neurotoxin) เท่านั้น โดยงูที่มีพิษดังกล่าวได้แก่
- งูเห่าไทยและงูเห่าพ่นพิษ (Cobra & spitting cobra ; Naja Kaouthia & Naja siamensis )
- งูจงอาง (King cobra ; Ophiophagus hannah)
- งูสามเหลี่ยม (Banded
krait ; Bungarus
fasciatus)
- งูทับสมิงคลา (Malayan
krait ; Bungarus candidus
จำยากใช่ไหมครับ หมอแบงค์มีสูตรลัดช่วยจำง่ายๆ
โดยให้ท่องจำว่า
"จงอางเห่าสามที"
จงอาง = งูจงอาง
เห่า
= งูเห่า
สาม = งูสามเหลี่ยม
ที = งูทับสมิงคลา
ไว้คราวหน้าพี่หมอแบงค์จะมาบอกวิธีแยกระหว่างงูพิษกับงูไม่มีพิษ
และวิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกงูพิษกัด ไว้ติดตามมาอ่านได้นะครับ
เรื่องโดย ~หมูสนาม~
คำเตือน
บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัดลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา