วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ย้อนรอย...นครพิงค์



       เรื่องราวของตอนนี้ย้อนไปสมัยที่หมอแบงค์ยังเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ปี 5 และได้เลือกลงวิชาเลือก(Electiveฝึกงาน)ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ณ จังหวัดเชียงใหม่

       PS.อ่านเรื่องราวตอนนี้ย้อนได้ในบันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ตอน "เดินทางลัดฟ้า.....สู่นครเชียงใหม่"

    เรื่องนั้นเกิด ณ กลางดึกของกลางคืนคืนหนึ่งขณะที่นักศึกษาแพทย์แบงค์กำลังอยู่เวรดึกกับนิสิตแพทย์ปิ้น และนิสิตแพทย์เชอรี่ ที่Wardอายุรกรรม

    หว้อหว้อเสียงไซเรนของรถพยาบาลดังขึ้นเป็นระยะๆ เป็นเสียงที่ได้ยินกันจนคุ้นหูแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลนครพิงค์แห่งนี้เป็นถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงใหม่ รถพยาบาลที่วิ่งเข้าออกก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา วันนี้ก็คงเป็นเหมือนทุกวัน




      จริงๆแล้วนักศึกษาแพทย์แบงค์ก็ไม่ได้สนใจกับเสียงไซเรนนี้เท่าไรนัก เพราะ หน้าที่ของนักศึกษาแพทย์แบงค์วันนี้ก็คือดูแลคนไข้สามสิบเตียงที่นอนอยู่ในWardอายุรกรรม ส่วนเรื่องฉุกเฉินก็ให้คุณหมอที่อยู่ที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน(ER)ดูแลไปก่อนแล้วกัน ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอายุรกรรม เขาก็คงเรียกเอง…. พูดไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

               กรี้งกริ้ง ขอให้น้องนักศึกษาแพทย์อายุรกรรมไปที่ERด่วนเลยค่ะ

             โดนตามจนได้ต้องเป็นเคสคนไข้ที่น่าสนใจแน่ๆเลยอาจารย์ถึงตามด้วยตนเอง

             เมื่อไปถึงก็พบว่าคนไข้ถูกบุรุษพยาบาลเข็นจากรถพยาบาลเข้ามาอยู่ใน ER เรียบร้อยแล้ว คนไข้เป็นลุงแก่ๆ อายุน่าจะประมาณ 60 ปี สภาพดูแย่มาก มีอาการดังนี้

            - เรียกไม่รู้สึกตัว น้ำลายฟูมปาก

           - เหงื่อออกท่วมตัว น้ำตา น้ำมูกไหลตลอดเวลา

         - ตัวเริ่มเขียว ที่แปลกไปกว่านั้นเห็นกล้ามเนื้อแขนขาของคุณลุงขยับได้เองเป็นลูกคลื่น และดูรูม่านตาพบว่ารูม่านตาเล็กเท่ารูเข็ม

        - ค่าความดันเลือดยังไม่ตกมาก ประมาณ 110/70 mmHg แต่อัตราการเต้นของหัวใจค่อนข้างต่ำเหลือประมาณ 50 ครั้งต่อนาที ค่าความอิ่มตัวของOxygenวัดจากปลายนิ้วเหลือเพียง 68 %

        ถ้าเป็นท่านผู้อ่าน…ท่านผู้อ่านจะทำอย่างไรกับคนไข้คนนี้ระหว่าง

                      A.  เจาะเลือด ส่งLabทางห้องปฏิบัติการทุกอย่างเท่าที่นึกได้เพื่อสืบหาสาเหตุที่ทำให้คนไข้เกิดอาการในครั้งนี้ แล้วค่อยทำการรักษา

                    B.  ใส่ท่อช่วยหายใจ และรักษาเบื้องต้นไปก่อนโดยที่ยังไม่รู้ว่าคนไข้ถูกวินิจฉัยว่าป็นโรคอะไร      

            คำตอบก็คือข้อ B คนไข้แย่แล้วเขียวซะขนาดนี้ หากเรารอผลทางห้องปฏิบัติการมาคนไข้ก็คงลงหลุมไปแล้วครับ>_< เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรักษาภาวะฉุกเฉินของคนไข้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเมื่อคนไข้ได้ทำตามข้อA ไปก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ    

               อย่างที่หมอแบงค์เคยพูดไปการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์นั้น 80 % นั้นได้มาจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก อีก 20%นั้นถึงเป็นการวินิจฉัยจากผลทางห้องปฏิบัติการ อย่างคนไข้คนนี้ ประวัติก็คงไม่ได้เท่าไรเนื่องจากคนไข้มาก็น้ำลายฟูมปากแล้ว แต่เคสนี้จากแค่การตรวจร่างกาย จริงๆแล้วก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เลยว่าได้รับสารพิษบางอย่างมา คือยาฆ่าแมลง เพราะผลที่ได้จากการตรวจร่างกายและอาการของคนไข้เข้าได้กับกลุ่มอาการได้รับสารพิษชนิดนี้(รายละเอียดไว้เข้ามาเรียนหมอแล้วจะรู้เองนะ^_^) 

              หลังจากคนไข้พ้นจากสภาวะวิกฤติแล้วก็ถูกส่งต่อมาที่Ward อายุรกรรมซึ่งเป็นWardที่นักศึกษาแพทย์แบงค์กับนักศึกษาแพทย์ปิ้น และนักศึกษาแพทย์เชอรี่อยู่นั้นเอง 
      
            เชอรี่ เธอว่าคุณลุงไปโดยยาฆ่าแมลงมาได้อย่างไร นักศึกษาแพทย์ปิ้นถามขึ้น

             เอ่อนั้นสินะ แก่ขนาดนี้ไม่น่ากินยาฆ่าตัวตายเลย นักศึกษาแพทย์เชอรี่แสดงความเห็น

             เอ่อนั้นเด่แก่ๆขนาดนี้ไม่น่าคิดสั้นเลย นักศึกษาแพทย์ปิ้นให้ความคิดสนับสนุน

          พังงาบพังงาบพังงาบลุงคนไข้ก็นอนอยู่ตรงนั้นขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไป
       
            เห้ย! เราว่าลุงแกต้องโดนวางยาแน่เลย

             จริงด้วย อาจจะเป็นอย่างที่พูดก็ได้นะ

             ไม่ใช่แค่อาจจะ ต้องใช่แน่ๆเลย ลุงแกต้องถูกวางยาเอามรดก นักศึกษาแพทย์ปิ้นย้ำอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง

          ขณะนั้นเองลุงคนไข้ก็พังงาบพังงาบพังงาบ…ต่อไป

        เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรเอาเรื่องของคนไข้มาพูดลับหลัง โดยเฉพาะต่อหน้าอย่างในกรณีนี้ยิ่งไม่ควรทำอย่างมาก ถึงแม้คนไข้จะอยู่ในสภาพไม่ได้สติก็ตาม...

          แพทย์ต้องรักษาความลับของคนไข้นะครับและจะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานอย่าซี้ซั้วพูดนะครับ อันนี้ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน ^_^ ไปก่อนล่ะครับ

                                                  เรื่องโดย ~หมูสนาม~


พี่หมอ
คำเตือน
บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัดลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา