เรื่องราวของตอนนี้ย้อนไปสมัยที่หมอแบงค์ยังเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ปี 5 และได้เลือกลงวิชาเลือก(Electiveฝึกงาน)ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ณ จังหวัดเชียงใหม่
PS.อ่านเรื่องราวตอนนี้ย้อนได้ในบันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ตอน "เดินทางลัดฟ้า.....สู่นครเชียงใหม่"
เรื่องนั้นเกิด ณ กลางดึกของกลางคืน…คืนหนึ่ง…ขณะที่นักศึกษาแพทย์แบงค์กำลังอยู่เวรดึกกับนิสิตแพทย์ปิ้น และนิสิตแพทย์เชอรี่ ที่Wardอายุรกรรม
หว้อ…หว้อ… เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังขึ้นเป็นระยะๆ เป็นเสียงที่ได้ยินกันจนคุ้นหูแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลนครพิงค์แห่งนี้เป็นถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียงใหม่ รถพยาบาลที่วิ่งเข้าออกก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา วันนี้ก็คงเป็นเหมือนทุกวัน
จริงๆแล้วนักศึกษาแพทย์แบงค์ก็ไม่ได้สนใจกับเสียงไซเรนนี้เท่าไรนัก
เพราะ หน้าที่ของนักศึกษาแพทย์แบงค์วันนี้ก็คือดูแลคนไข้สามสิบเตียงที่นอนอยู่ในWardอายุรกรรม
ส่วนเรื่องฉุกเฉินก็ให้คุณหมอที่อยู่ที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน(ER)ดูแลไปก่อนแล้วกัน ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอายุรกรรม เขาก็คงเรียกเอง…. พูดไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“กรี้ง…กริ้ง ขอให้น้องนักศึกษาแพทย์อายุรกรรมไปที่ERด่วนเลยค่ะ”
…โดนตามจนได้…ต้องเป็นเคสคนไข้ที่น่าสนใจแน่ๆเลย…อาจารย์ถึงตามด้วยตนเอง
เมื่อไปถึงก็พบว่าคนไข้ถูกบุรุษพยาบาลเข็นจากรถพยาบาลเข้ามาอยู่ใน
ER เรียบร้อยแล้ว คนไข้เป็นลุงแก่ๆ
อายุน่าจะประมาณ 60 ปี สภาพดูแย่มาก มีอาการดังนี้
- เรียกไม่รู้สึกตัว น้ำลายฟูมปาก
-
เหงื่อออกท่วมตัว น้ำตา น้ำมูกไหลตลอดเวลา
-
ตัวเริ่มเขียว
ที่แปลกไปกว่านั้นเห็นกล้ามเนื้อแขนขาของคุณลุงขยับได้เองเป็นลูกคลื่น
และดูรูม่านตาพบว่ารูม่านตาเล็กเท่ารูเข็ม
- ค่าความดันเลือดยังไม่ตกมาก ประมาณ 110/70 mmHg แต่อัตราการเต้นของหัวใจค่อนข้างต่ำเหลือประมาณ
50 ครั้งต่อนาที ค่าความอิ่มตัวของOxygenวัดจากปลายนิ้วเหลือเพียง 68 %
ถ้าเป็นท่านผู้อ่าน…ท่านผู้อ่านจะทำอย่างไรกับคนไข้คนนี้ระหว่าง
A. เจาะเลือด
ส่งLabทางห้องปฏิบัติการทุกอย่างเท่าที่นึกได้เพื่อสืบหาสาเหตุที่ทำให้คนไข้เกิดอาการในครั้งนี้
แล้วค่อยทำการรักษา
B. ใส่ท่อช่วยหายใจ
และรักษาเบื้องต้นไปก่อนโดยที่ยังไม่รู้ว่าคนไข้ถูกวินิจฉัยว่าป็นโรคอะไร
คำตอบก็คือข้อ B คนไข้แย่แล้วเขียวซะขนาดนี้
หากเรารอผลทางห้องปฏิบัติการมาคนไข้ก็คงลงหลุมไปแล้วครับ>_< เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรักษาภาวะฉุกเฉินของคนไข้ก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งเมื่อคนไข้ได้ทำตามข้อA ไปก็ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
อย่างที่หมอแบงค์เคยพูดไปการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์นั้น
80 % นั้นได้มาจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก
อีก 20%นั้นถึงเป็นการวินิจฉัยจากผลทางห้องปฏิบัติการ
อย่างคนไข้คนนี้ ประวัติก็คงไม่ได้เท่าไรเนื่องจากคนไข้มาก็น้ำลายฟูมปากแล้ว แต่เคสนี้จากแค่การตรวจร่างกาย
จริงๆแล้วก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เลยว่าได้รับสารพิษบางอย่างมา คือยาฆ่าแมลง เพราะผลที่ได้จากการตรวจร่างกายและอาการของคนไข้เข้าได้กับกลุ่มอาการได้รับสารพิษชนิดนี้(รายละเอียดไว้เข้ามาเรียนหมอแล้วจะรู้เองนะ^_^)
“เชอรี่
เธอว่าคุณลุงไปโดยยาฆ่าแมลงมาได้อย่างไร” นักศึกษาแพทย์ปิ้นถามขึ้น
“เอ่อนั้นสินะ
แก่ขนาดนี้ไม่น่ากินยาฆ่าตัวตายเลย” นักศึกษาแพทย์เชอรี่แสดงความเห็น
พังงาบ…พังงาบ…พังงาบ… ลุงคนไข้ก็นอนอยู่ตรงนั้นขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไป
“เห้ย!
เราว่าลุงแกต้องโดนวางยาแน่เลย”
“จริงด้วย อาจจะเป็นอย่างที่พูดก็ได้นะ”
“ไม่ใช่แค่อาจจะ
ต้องใช่แน่ๆเลย ลุงแกต้องถูกวางยาเอามรดก” นักศึกษาแพทย์ปิ้นย้ำอีกครั้งด้วยเสียงอันดัง
ขณะนั้นเองลุงคนไข้ก็…พังงาบ…พังงาบ…พังงาบ…ต่อไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ควรเอาเรื่องของคนไข้มาพูดลับหลัง
โดยเฉพาะต่อหน้าอย่างในกรณีนี้ยิ่งไม่ควรทำอย่างมาก ถึงแม้คนไข้จะอยู่ในสภาพไม่ได้สติก็ตาม...
แพทย์ต้องรักษาความลับของคนไข้นะครับและจะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานอย่าซี้ซั้วพูดนะครับ
อันนี้ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน ^_^ ไปก่อนล่ะครับ
เรื่องโดย ~หมูสนาม~
คำเตือน
บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัดลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา